ฟิลเลอร์ คืออะไร? ครบทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีด
เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอย ร่องลึก และผิวที่เคยเต่งตึงกลับค่อย ๆ สูญเสียความยืดหยุ่นไปตามกาลเวลา ทำให้หลายคนมองหาวิธีดูแลผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมและเห็นผลชัดเจนคือการฉีด “ ฟิลเลอร์ ” ฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ช่วยเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลทันทีหลังทำ และสามารถสลายได้ตามธรรมชาติ จึงกลายเป็นเทรนด์ความงามที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ ฟิลเลอร์คืออะไร ฉีดตรงไหนได้บ้าง ปลอดภัยไหม มียี่ห้อใดที่น่าเชื่อถือ และควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ พร้อมเลือกการรักษาที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
ฟิลเลอร์ คืออะไร?
ฟิลเลอร์คือสารเติมเต็มในกลุ่มไฮยาลูโรนิกแอซิด หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า HA ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเลียนแบบสารธรรมชาติในร่างกาย ทำหน้าที่เสมือนการทดแทนองค์ประกอบหลักของโครงสร้างผิว อย่างคอลลาเจนและไฮยาลูรอน ที่มักลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
ผิวหนังของมนุษย์ประกอบด้วยเส้นใยคอลลาเจนที่ทำหน้าที่เสริมความแข็งแรง ยืดหยุ่น และความเต่งตึงให้กับผิว แต่เมื่อเส้นใยเหล่านี้ค่อยๆ เสื่อมสภาพลง ผิวย่อมบางลงและเกิดริ้วรอยได้โดยง่าย การฉีด HA เข้าไปยังจุดที่มีรอยลึกชัดเจน อย่างบริเวณใต้ตาหรือร่องแก้ม จะช่วยยกโครงสร้างผิวให้ดูกระชับ เติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น และคืนความเรียบเนียนให้ผิวพรรณ ดูอ่อนวัยกว่าวัย ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาผิวหนังที่ได้ผลชัดเจน และยังเป็นที่นิยมแพร่หลายในแวดวงความงามอีกด้วย
ฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?
หลายคนกังวลว่าการฉีดฟิลเลอร์จะอันตรายหรือไม่ ความจริงแล้วฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยที่สุดและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (US FDA) คือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง นิยมใช้ทั้งในทางการแพทย์และด้านความงาม อีกทั้งยังสามารถสลายฟิลเลอร์ได้หมด 100% โดยไม่ตกค้างในร่างกาย หากต้องการเติมใหม่ก็สามารถทำได้โดยไม่เป็นอันตราย
ในทางการแพทย์ ฟิลเลอร์แบ่งออกได้ 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- Hyaluronic Acid (HA) ปลอดภัย สลายหมดตามธรรมชาติ ได้รับความนิยมสูงที่สุด
- Collagen จากสัตว์ ปัจจุบันไม่นิยมใช้ เพราะเสี่ยงต่อการแพ้และเกิดอาการบวมแดง
- ไขมัน (Fat Transfer) เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมครั้งละปริมาณมาก เช่น 10–20 CC
- Biosynthetic polymers เช่น ซิลิโคนเหลว ไม่สามารถสลายได้ ไม่ปลอดภัย และไม่ได้รับการรับรองจากอย.
สำหรับประเทศไทย ฟิลเลอร์ที่ได้รับอนุญาตและผ่านอย. คือ HA แท้ เท่านั้น ซึ่งมีหลายยี่ห้อ แพทย์จะเป็นผู้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามและเป็นธรรมชาติ
ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่หัตถการที่อันตราย หากเลือกทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ความเสี่ยงจะต่ำและผลลัพธ์ปลอดภัย
อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอม
สิ่งที่ต้องระวังคือการฉีดฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอันตราย หลังฉีดไปแล้วอาจจับตัวเป็นก้อนแข็ง ไหลย้อย ทำให้ผิวขรุขระ เกิดการอักเสบติดเชื้อ บวมแดง หรือแพ้อย่างรุนแรง ในบางกรณีอาจร้ายแรงถึงขั้นเนื้อตายหรือตาบอด
ฟิลเลอร์ปลอมมักเป็นผลิตภัณฑ์ราคาถูก ลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านอย. และไม่สามารถสลายได้เอง หากฉีดแล้วเกิดปัญหา แก้ไขได้เพียงการผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น ซึ่งมีความเสี่ยงและยุ่งยากกว่ามาก ✅ สรุปคือ ฟิลเลอร์ ไม่อันตราย หากเลือกใช้ HA แท้ ที่ผ่านอย. และทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่จะอันตรายมากหากเลือกฟิลเลอร์ปลอมหรือฉีดกับผู้ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์
ฟิลเลอร์ ฉีดตรงไหนได้บ้าง?
ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า ขึ้นอยู่กับปัญหาริ้วรอย ร่องลึก หรือความต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วน โดยจุดที่นิยมฉีดและเห็นผลชัดเจนมี 9 จุดด้วยกัน
1. ฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาร่องใต้ตาลึก ความหมองคล้ำ ทำให้ใต้ตาดูเต่งตึง สดใส และอ่อนวัยขึ้น
👉 อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ฉีดแล้วปัง อัปเดต 2025
2. ฟิลเลอร์คาง
ฟิลเลอร์คาง เหมาะกับคนที่คางสั้นหรือคางห้อย ช่วยยืดหน้าดูเรียวยาว ปรับรูปหน้าให้ได้รูปวีมากขึ้น
👉 อ่านเพิ่มเติม : คางสั้น คางตัด ฉีดฟิลเลอร์ VS เสริมคางแบบไหนดีกว่ากัน?
3. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เติมเต็มร่องแก้มลึกที่ทำให้ใบหน้าดูแก่หรือเหนื่อยง่าย ช่วยให้ใบหน้าดูเต็มขึ้นและอ่อนเยาว์
4. ฟิลเลอร์ปาก
ฟิลเลอร์ปาก เพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก บำรุงความชุ่มชื้น ลดริ้วรอยรอบปาก
👉 อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม ควรเลือกทรงไหนดี อัปเดต 2025
5. ฟิลเลอร์ขมับ
ฟิลเลอร์ขมับ แก้ไขขมับยุบหรือแบน ทำให้ใบหน้าดูเต็มและละมุนขึ้น
6. ฟิลเลอร์หน้าผาก
ฟิลเลอร์หน้าผาก เติมหน้าผากที่แบนหรือเป็นร่องให้ดูโด่งสมส่วน ได้มิติมากขึ้น
7. ฟิลเลอร์จมูก
ปรับสันจมูกหรือปลายจมูกให้ได้รูปโดยไม่ต้องผ่าตัด
👉 อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์จมูก VS เสริมจมูก แบบไหนดีกว่ากัน?
8. ฟิลเลอร์หน้าแก้ม
เพิ่มความเต่งตึงให้บริเวณหน้าแก้ม เหมาะกับผู้ที่แก้มยุบ
9. ฟิลเลอร์โหนกแก้ม
ฟิลเลอร์โหนกแก้ม เสริมสร้างมุมกระดูกโหนกแก้มให้ชัดเจน ช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติและโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น
📍 นอกจากนี้ ยังสามารถฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้อีก เช่น
- ฟิลเลอร์มือ เพื่อลดลักษณะเส้นเลือดและเอ็นเด่นชัด
- ฟิลเลอร์น้องสาว เพื่อเพิ่มความอวบอิ่มและความมั่นใจ
ข้อแนะนำ: ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าและความต้องการของเราโดยเฉพาะ จะได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุดค่ะ
ในการฉีดแต่ละจุดต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ?
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในแต่ละตำแหน่งจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัญหาโครงสร้างผิวและความต้องการของคนไข้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเพื่อแนะนำปริมาณที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาชัดเจนและดูเป็นธรรมชาติ
- หน้าผาก : 2–4 CC
- ขมับ : 1–2 CC
- แก้มตอบ : 1–2 C
- จมูก : 1 CC
- ริมฝีปาก : 1–2 CC
- ใต้ตา : 1–2 CC
- โหนกแก้ม : 1–2 CC
- ร่องแก้ม : 1–2 CC
- คาง : 2–4 CC
หากเป็นบริเวณที่มีร่องลึกหรือยุบตัวมาก เช่น ขมับหรือหน้าผาก มักต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมากกว่าจุดเล็ก ๆ อย่างใต้ตาหรือร่องแก้ม แต่ละเคสไม่จำเป็นต้องเติมในครั้งเดียวปริมาณมาก ๆ สามารถทยอยเติมทีละน้อย แล้วปรับจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่สวยและพอดีกับใบหน้า
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์
- ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ทันที
- เห็นผลรวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
- ใช้สาร Hyaluronic Acid ที่ผ่านการรับรองจากอย. ปลอดภัย สลายหมด ไม่ตกค้าง
- หากไม่พอใจสามารถฉีดสลายออกได้ หรือเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ปรับได้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
- ใช้แก้ปัญหาจุดที่ละเอียดอ่อน เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ได้อย่างแม่นยำ
ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี และอยู่ได้นานแค่ไหน?
การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีดและลักษณะปัญหาของแต่ละคน บางยี่ห้อมีความนุ่ม เหมาะกับจุดที่ผิวบางอย่างใต้ตา ในขณะที่บางรุ่นมีความคงตัวสูง เหมาะสำหรับการปรับโครงสร้าง เช่น คางหรือกรอบหน้า
ฟิลเลอร์ที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายแบรนด์จากต่างประเทศ โดยนิยมมากที่สุดมาจาก 5 ประเทศ ได้แก่ สวีเดน อเมริกา เกาหลี สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี แต่ละยี่ห้อมีรุ่นย่อยที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ความคงตัวและระยะเวลาการสลายตัว ตั้งแต่ประมาณ 6 เดือน ไปจนถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นและตำแหน่งที่ฉีด
แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด
❖ Juvederm (อเมริกา)
- Ultra Plus 12 เดือน
- Voluma 18 เดือน
- Volbella 12 เดือน
- Volift 12 เดือน
- Volite 8–12 เดือน
- Volux 18–24 เดือน
❖ Restylane (สวีเดน)
- Perlane Lyft 12 เดือน
- Vital Light 6–12 เดือน
- Vital 12 เดือน
- Volyme 18 เดือน
- Defyne 18 เดือน
- Refyne 12 เดือน
- Classic 12 เดือน
- Kysse 12 เดือน
❖ Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)
- Intense 18 เดือน
- Volume 18 เดือน
- Revive 6–9 เดือน
❖ Teoxane (สวิตเซอร์แลนด์)
- Ultra Deep 18 เดือน
- RHA 2 18 เดือน
- RHA 3 12–18 เดือน
❖ Lorient (เกาหลี)
- Lorient No.2 (เนื้ออ่อน) 6–9 เดือน
- Lorient No.4 (เนื้อปานกลาง) 9–12 เดือน
- Lorient No.6 (เนื้อแข็ง) 12–16 เดือน
❖ Definisse (อิตาลี)
- Restore 12 เดือน
- Core 18 เดือน
- Touch 8–12 เดือน
วิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้
การฉีดฟิลเลอร์ให้ปลอดภัย ควรเริ่มจากการตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็น ฟิลเลอร์แท้ ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งผู้รับบริการสามารถสังเกตได้จากหลักฐานสำคัญเหล่านี้
- บนกล่องผลิตภัณฑ์ต้องมี “เลขทะเบียน อย.” แสดงไว้อย่างชัดเจน
- มีเอกสารกำกับบรรจุภัณฑ์เป็นภาษาไทย ที่ระบุรายละเอียดครบถ้วน
- หมายเลข Lot Number บนกล่อง ซอง ใบรับรอง และหลอดฟิลเลอร์ต้องตรงกัน ไม่มีการเบี่ยงเบน
- สามารถนำหมายเลข Lot ไปตรวจสอบย้อนกลับ กับบริษัทผู้นำเข้าได้โดยตรง
การตรวจสอบด้วยวิธีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ผ่านการรับรองจาก อย. และไม่ใช่ฟิลเลอร์ปลอมที่อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงและอันตรายในภายหลัง
ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังการฉีดโปรแกรม ฟิลเลอร์
การเตรียมตัว ก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ มีข้อแนะนำดังนี้
การเตรียมตัวล่วงหน้า
- เลือกรักษาในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรอง
- งดรับประทานยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี สมุนไพรโสม กระเทียม และแปะก๊วย เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดใช้ยาทาผลัดเซลล์ผิว และหลีกเลี่ยงการโกนขนในบริเวณที่จะรับการรักษา
- ควรเว้นระยะห่างจากการทำเลเซอร์และการนวดบริเวณใบหน้าอย่างน้อย 3 วัน
- แจ้งประวัติการเจ็บป่วยและยาที่ใช้อยู่ทั้งหมดแก่แพทย์ก่อนทำการรักษา
- สามารถขอรับยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างการรักษา
ขั้นตอนการรักษา
- รับการปรึกษาจากแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
- ทำความสะอาดผิวหน้าในบริเวณที่จะรักษาอย่างละเอียด
- ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ร่วมกับแพทย์ก่อนใช้งาน
- รับการประคบเย็นเพื่อลดอาการไม่สบายระหว่างการรักษา
- รับคำแนะนำการดูแลตนเองหลังการรักษาจากแพทย์
อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังการรักษา
อาจพบรอยแดงหรือรอยเข็มบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะค่อยๆ จางหายไปภายใน 2-3 วัน ส่วนอาการบวมจะค่อยๆ ลดลงและฟิลเลอร์จะเข้าที่สมบูรณ์ภายใน 1-2 สัปดาห์
ข้อแนะนำหลังการรักษา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดนวดบริเวณที่ได้รับการฉีด
- กลับไปพบแพทย์หากมีอาการบวมมากหรือผิดปกติหลัง 3 วัน
- รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนจัดเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
- งดการทำเลเซอร์ที่มีผลต่อผิวชั้นลึกเป็นเวลา 1 เดือน
- ระมัดระวังการขยับใบหน้าในช่วง 3 วันแรกหลังรักษา
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารที่อาจกระตุ้นการอักเสบ
- งดสูบบุหรี่เพื่อผลลัพธ์ที่คงทนนาน
สรุป การปฏิบัติตามข้อแนะนำก่อนและหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด จะช่วยส่งเสริมผลลัพธ์ทางความงามและความปลอดภัยในการใช้ฟิลเลอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม ฟิลเลอร์
❖ ฟิลเลอร์สลายแล้วจะทำให้หน้าแก่กว่าเดิมไหม?
ไม่เลยครับ ตรงกันข้ามฟิลเลอร์ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว หลังจากฟิลเลอร์สลายแล้ว ผิวยังคงอยู่ในสภาพที่ดีกว่าก่อนฉีด
❖ ไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายได้ไหม?
หากใช้ฟิลเลอร์แท้ HA สามารถฉีดสลายได้ด้วยเอมไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase; Hyalase) ทำให้ผิวกลับสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
❖ ฟิลเลอร์ปลอมสลายได้เองไหม?
ฟิลเลอร์ปลอมเช่นซิลิโคนเหลวไม่สามารถสลายได้ มักจับตัวเป็นก้อนแข็ง แก้ไขได้เพียงการผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น
❖ ฉีดแล้วบวมกี่วัน? กี่วันถึงเห็นผลชัด?
หลังฉีดจะเห็นผลทันที ส่วนบวมช้ำจะหายใน 7-14 วัน หลังจาก 2 สัปดาห์ฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลชัดเจนที่สุด
❖ ฟิลเลอร์สลายแล้วเปลี่ยนยี่ห้อได้ไหม?
เปลี่ยนยี่ห้อได้ตามต้องการ ขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีดและคำแนะนำของแพทย์
❖ ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี?
เลือกคลินิกได้มาตรฐาน ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ใช้ฟิลเลอร์แท้ มีแพทย์เชี่ยวชาญ รีวิวดี และมีการติดตามผลหลังการรักษา
❖ ต้องรอฟิลเลอร์เก่าสลายหมดก่อนไหมถึงฉีดใหม่ได้?
ไม่จำเป็นต้องรอให้ฟิลเลอร์เก่าสลายหมดก่อน สามารถเติมฟิลเลอร์เพิ่มได้ตามความเหมาะสม
หมายเหตุ: ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไปจนดูล้นหรือไม่เป็นธรรมชาติ อาจทำให้ฟิลเลอร์ดูเป็นก้อน เป็นลำได้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งจะช่วย สลายฟิลเลอร์ ส่วนเกินออกไป ทำให้ผิวหนังกลับสู่สภาพเดิมได้ภายในเวลาไม่นาน
❖ ฉีดฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่? ทำไมแต่ละจุดไม่เท่ากัน?
ราคาขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และเทคนิคการฉีด
ราคาทีมแพทย์
- ใต้ตา 11,990 บาท
- คาง 11,990 บาท
- ร่องแก้ม 11,990 บาท
- ปาก 11,990 บาท
- ขมับ 11,990 บาท
- หน้าผาก 11,990 บาท
- จมูก เริ่มต้น 19,990 บาท (โดยคุณหมอโทนี่)
บทสรุป
ฟิลเลอร์ (HA) เป็นหัตถการที่เห็นผลไว ปลอดภัยเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์แท้และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ช่วยแก้ริ้วรอย เติมเต็มร่องลึก และปรับสัดส่วนใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ ความคงตัวของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่น ตำแหน่ง และการดูแลตัวเอง ทั้งก่อน–หลังทำ การตรวจสอบเลข อย./Lot และให้แพทย์แกะกล่องต่อหน้าคือหัวใจของความปลอดภัย
การเลือกยี่ห้อ–รุ่นที่เหมาะสม ควรพิจารณาตามปัญหาและโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคน จุดที่ผิวบางต้องใช้เนื้อนิ่ม จุดที่ต้องการโครงสร้างต้องใช้เนื้อแน่น ปริมาณ CC สามารถค่อย ๆ เติมเพื่อจูนความพอดีได้ ไม่จำเป็นต้องทำครั้งเดียวมาก ๆ และหากไม่พอใจยังสามารถสลายได้ด้วย Hyaluronidase
ทำตามข้อแนะนำการเตรียมตัวและการดูแลหลังฉีดอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดโอกาสบวมช้ำ ยืดอายุผลลัพธ์ และคงความสวยได้ยาวนานที่สุด หากยังไม่แน่ใจว่าควรเริ่มตรงไหน ให้เริ่มจากการ “ปรึกษา–ประเมิน–วางแผน” ร่วมกับแพทย์ เพื่อได้แผนการฉีดที่ปลอดภัย เหมาะกับใบหน้าคุณจริง ๆ และได้ผลลัพธ์ที่มั่นใจได้ที่สุดครับ
