ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา อยู่ได้นานแค่ไหน อันตรายไหม ควรเลือกยี่ห้อไหนดี?

ปัญหาใต้ตาคล้ำ ร่องลึก หรือริ้วรอยเล็ก ๆ มักเป็นจุดที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและอายุมากกว่าความจริง แม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม “การฉีดฟิลเลอร์” จึงเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่ช่วยคืนความสดใสให้ใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นผลทันที ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น เหมาะทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชายที่อยากปรับลุคให้ดูอ่อนเยาว์มั่นใจขึ้น

Doctor Tony Clinic จะพาคุณไปรู้จักกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา อย่างละเอียด ตั้งแต่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ อยู่ได้นานแค่ไหน อันตรายไหม ผลลัพธ์ที่เห็นหลังทำเป็นอย่างไร? รวมถึงราคาและรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเหมาะสมที่สุด

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร? ลดใต้ตาคล้ำ ร่องลึก

การ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหนึ่งในหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ร่องลึก ถุงใต้ตา และริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าใบหน้าดูอ่อนล้า โทรม หรือเหนื่อยล้า แม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม

ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นทันทีหลังทำ คืนความมั่นใจให้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่ต้องการลุคอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

ปัญหาใต้ตา เกิดจากอะไร และมีปัญหาแบบไหนบ้าง?

บริเวณใต้ตาเป็นจุดที่สะท้อนความเหนื่อยล้าและอายุได้ชัดเจนที่สุด โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาใต้ตา ได้แก่

  • การยุบตัวของผิวและกระดูก : บริเวณ Tear Trough (ร่องน้ำตา) และ Hollow Under Eye (เบ้าตาลึก) จะค่อย ๆ ยุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เกิดร่องและเงาคล้ำใต้ตา
  • พันธุกรรม : บางคนมีโครงสร้างเบ้าตาลึกหรือใต้ตาคล้ำมาตั้งแต่เด็ก
  • ภูมิแพ้ : ทำให้เส้นเลือดใต้ตาขยาย เกิดรอยคล้ำได้ง่าย
  • โครงสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์ : ส่งผลให้เกิดร่องลึกและถุงใต้ตาตั้งแต่อายุน้อย
  • พฤติกรรมชีวิตประจำวัน : การนอนดึก ขยี้ตาบ่อย หรือใช้สายตาหนัก ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาหย่อนยานและเกิดริ้วรอยก่อนวัย

ปัญหาใต้ตาที่พบบ่อย

  1. ใต้ตาคล้ำจากเม็ดสี – ผิวผลิตเม็ดสีมากผิดปกติ ทำให้หมองคล้ำ ดำคล้ำ แม้พักผ่อนเพียงพอ
  2. ใต้ตาคล้ำจากเส้นเลือดฝอย – มักพบในคนผิวบาง เส้นเลือดชัด เห็นเป็นเงาคล้ำอมม่วงหรืออมเขียว
  3. ร่องลึกใต้ตา / ร่องน้ำตา (Tear Trough) – ผิวและไขมันยุบตัว ทำให้เกิดร่องลึกบริเวณหัวตาและกลางแก้ม ใบหน้าดูอิดโรย
  4. ใต้ตาหย่อนคล้อย – เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่น ทำให้ผิวบางลง ไม่กระชับ
  5. ถุงใต้ตา – การสะสมของไขมันใต้ตา ดันผิวออกมาเป็นก้อนโป่ง ทำให้หน้าดูบวม เหนื่อยล้า
  6. ริ้วรอยใต้ตา – ผิวบาง แห้ง หรือขาดความชุ่มชื้น ทำให้เกิดเส้นริ้วเล็ก ๆ เห็นชัดเมื่อยิ้ม หรือแสดงสีหน้า

↑ กลับสู่สารบัญ

ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

ฟิลเลอร์ใต้ตา (Under Eye Filler) เป็นการแก้ปัญหาบริเวณรอบดวงตาอย่างได้ผลและเป็นธรรมชาติ โดยการเติมเต็มส่วนที่ยุบตัวลง ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้นในทันที

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ปัญหาใต้ตา ที่โปรแกรมฟิลเลอร์แก้ไขได้

เติมเต็มร่องน้ำตาและร่องลึกใต้ตา

  • ช่วยลดรอยเว้าและเงามืดที่ทำให้ใบหน้าดูโทรม เหนื่อยล้า
  • ทำให้ผิวใต้ตาเรียบเนียนขึ้น ลดความอ่อนล้าของใบหน้า

ลดปัญหาภายใต้ตาคล้ำจากโครงสร้าง

  • ในกรณีที่ใต้ตาคล้ำจากร่องลึกหรือไขมันยุบตัว (ไม่ใช่เม็ดสี) ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มให้ผิวเสมอกัน
  • เงามืดที่เคยเห็นชัดจะจางลง สีหน้าดูสว่างขึ้น

พยุงผิวหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น

  • เติมความชุ่มชื้นและความอิ่มตัวให้ผิวใต้ตาที่บางลง
  • ช่วยให้ผิวบริเวณนั้นดูแน่น กระชับ และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

กลบรอยต่อระหว่างถุงใต้ตากับแก้ม

  • สำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาไม่ใหญ่มาก แต่มีรอยต่อที่ชัดเจน
  • ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มให้รอยต่อนั้นกลมกลืนและเรียบเนียนขึ้น

ลดริ้วรอยเล็กๆ ใต้ตา

  • ช่วยเติมเต็มริ้วรอยตื้นๆ ที่เกิดจากผิวแห้งหรือบางตามวัย
  • เพิ่มความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวเรียบตึงขึ้น

ปรับสมดุลโครงสร้างใบหน้าส่วนกลาง

  • ทำให้บริเวณใต้ตา โหนกแก้ม และร่องแก้มดูสมดุลและกลมกลืนกันมากขึ้น
  • ใบหน้าดูละมุน มีความสมส่วน เป็นธรรมชาติ

↑ กลับสู่สารบัญ

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา 182

ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใคร?

ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหรือโครงสร้างใต้ตาที่ทำให้หน้าดูเหนื่อยล้า ไม่สดใส โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีริ้วรอยลึกมากก็สามารถทำได้ กลุ่มที่เหมาะ ได้แก่

  1. คนที่มีใต้ตาลึกหรือคล้ำโดยกำเนิด เช่น เบ้าตาลึก ร่องน้ำตาชัด ทำให้หน้าดูหมองคล้ำตลอดเวลา แม้จะพักผ่อนเพียงพอ
  2. ผู้ที่มีเงาใต้ตาจากโครงสร้าง ผิวบางจนเห็นเส้นเลือดหรือเกิดเงาตัดชัดระหว่างใต้ตากับแก้ม แม้แต่งหน้าก็ยังกลบไม่มิด
  3. ผู้ที่เริ่มมีผิวหย่อนหรือยุบตัวตามอายุ มักพบในช่วงวัย 25–45 ปี ที่ผิวใต้ตาไม่เรียบเนียน หรือเริ่มเห็นร่องลึกชัดขึ้น
  4. ผู้ที่ต้องการปรับสมดุลรูปหน้าเล็กน้อยโดยไม่ผ่าตัด เช่น โหนกแก้มเด่นจนทำให้ใต้ตาดูตอบ ฟิลเลอร์ช่วยปรับให้หน้าดูละมุนขึ้น
  5. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความสดใสแบบเร่งด่วน เหมาะกับคนที่มีเวลาจำกัด ไม่อยากพักฟื้นนาน ต้องการลุคสดใสก่อนออกงานหรือถ่ายรูปสำคัญ
  6. ผู้ที่เคยลองครีมหรือทรีตเมนต์หรือเลเซอร์แล้วไม่เห็นผล โดยเฉพาะกรณีที่ปัญหาเกิดจากโครงสร้าง ฟิลเลอร์มักให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าการใช้สกินแคร์หรือเลเซอร์
รีวิว ฟิลเลอร์ lorient 3

ฟิลเลอร์ใต้ตา ไม่เหมาะกับใคร?

  1. ผู้ที่มีถุงใต้ตาใหญ่จากไขมัน – ฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด และหากฉีดโดยแพทย์ที่ขาดความชำนาญ อาจทำให้ใต้ตาดูล้น ไม่เรียบเนียน และดูไม่เป็นธรรมชาติ – หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินร่วมกัน โดยปัญหาถุงใต้ตาใหญ่สามารถแก้ไขได้ทั้งด้วยการผ่าตัดถุงใต้ตา หรือการใช้ฟิลเลอร์ในบางกรณีตามความเหมาะสม
  2. ผู้ที่มีใต้ตาคล้ำจากเส้นเลือดหรือเม็ดสี เนื่องจากไม่ได้เกิดจากร่องลึก การฉีดฟิลเลอร์อาจไม่ช่วยให้จางลง
  3. ผู้ที่มีผิวใต้ตาบางมาก มีความเสี่ยงที่จะเกิดก้อนหรือผิวไม่เรียบหลังฉีด
  4. ผู้ที่เคยฉีดผิดตำแหน่งจนเกิดก้อนแข็ง ต้องฉีดสลายฟิลเลอร์เก่าก่อน และอาจต้องพิจารณาวิธีอื่นร่วมด้วย
  5. ผู้ที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบรอบดวงตา
  6. ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune) จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อน
  7. ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวรหรือเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าชัดเจน ฟิลเลอร์เป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราว ไม่สามารถแทนศัลยกรรมหรือการผ่าตัดได้

↑ กลับสู่สารบัญ

ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี

ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี?

การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาควรคำนึงถึงคุณสมบัติของเนื้อฟิลเลอร์ว่ามีความนุ่ม ละเอียด และกระจายตัวได้ดีหรือไม่ เพราะผิวใต้ตาเป็นผิวที่บางและบอบบาง หากเลือกฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดก้อนหรือความไม่เรียบเนียนหลังฉีดได้ ดังนั้นจึงควรเลือกฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และได้รับความนิยมในคลินิกที่ได้มาตรฐาน

  1. ฟิลเลอร์ Juvederm จากบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ใช้เทคโนโลยี Vycross ทำให้เนื้อฟิลเลอร์นุ่มมาก กระจายตัวได้ดี เหมาะกับผิวบางอย่างใต้ตา อยู่ได้นานประมาณ 12–18 เดือน และไม่ทำให้บวมหลังฉีดเพราะมีคุณสมบัติในการดูดซึมน้ำที่พอดี
  2. ฟิลเลอร์ Restylane จากบริษัท Galderma ประเทศสวีเดน
    เป็นรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับใต้ตาโดยเฉพาะ ใช้เทคโนโลยี NASHA ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์นุ่มละเอียด กระจายตัวในผิวได้ดี ลดความเสี่ยงในการเกิด Tyndall Effect หรืออาการใต้ตาดูคล้ำจากการสะท้อนแสง จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวบางหรือใต้ตาคล้ำจากร่องลึก
  3. ฟิลเลอร์ Belotero ผลิตโดย Merz ประเทศเยอรมนี
    โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) เนื้อฟิลเลอร์ละเอียดสูง สามารถกลืนเข้ากับผิวได้เรียบเนียน ลดความเสี่ยงการเกิดก้อนหรือผิวเป็นคลื่น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ ผิวบาง หรือมีริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา
  4. ฟิลเลอร์ Lorient ผลิตในประเทศเกาหลีใต้
    จุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยี Ultra-Low BDDE และ STORM™ Tech ทำให้เนื้อเจลมีความนุ่ม ละเอียด และกระจายตัวได้ดี พร้อมทั้งมีค่า Osmolarity ใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อผิว จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดก้อน คลื่น หรือความไม่เรียบหลังฉีด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง ใต้ตาคล้ำ หรือมีร่องลึกและต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ระยะเวลาอยู่ได้ประมาณ 8–12 เดือน และเป็นฟิลเลอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพ

ทั้งสี่แบรนด์ Juvederm, Restylane, Belotero และ Lorient ต่างก็มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการฉีดใต้ตา เพียงแต่จุดเด่นแตกต่างกัน การเลือกใช้ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินตามสภาพผิวและโครงสร้างใต้ตาของแต่ละคน เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติที่สุด

👉 อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ฉีดแล้วปัง อัปเดต 2025

ฟิลเลอร์ใต้ตา vs ฉีดไขมันใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา

  • สารที่ใช้: ใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) ที่ผ่านการรับรองจาก อย. สามารถสลายได้หากไม่พอใจผลลัพธ์
  • ผลลัพธ์: เห็นผลทันทีหลังทำ ผิวใต้ตาดูตื้นขึ้นและสดใสขึ้น
  • การทำหัตถการ: ใช้เวลาไม่นาน เจ็บน้อย ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น
  • อาการหลังทำ: อาจมีบวมเล็กน้อยใน 2–3 วันแรก และเห็นผลเต็มที่ในประมาณ 2 สัปดาห์
  • ระยะเวลาคงอยู่: ไม่ถาวร อยู่ได้ประมาณ 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดฟิลเลอร์และการดูแล
  • ความปลอดภัย: ความเสี่ยงต่ำ และสามารถฉีดสลายได้หากเกิดปัญหาหรือไม่ชอบผลลัพธ์
  • เหมาะสำหรับ: คนที่อยากเห็นผลเร็ว ไม่อยากพักฟื้นนาน ต้องการความปลอดภัยสูง และแก้ไขหรือปรับแต่งได้ง่าย

ฉีดไขมันใต้ตา

  • สารที่ใช้: ใช้ไขมันของตัวเอง โดยดูดจากส่วนอื่น เช่น ต้นขา หน้าท้อง แล้วนำมาฉีดใต้ตา
  • ผลลัพธ์: อยู่ได้นานกว่า แต่ครั้งแรกอาจไม่ชัดเจน ต้องเติมซ้ำเพื่อให้ไขมันติดและดูเป็นธรรมชาติ
  • การทำหัตถการ: มีขั้นตอนมากกว่า เพราะต้องดูดและปั่นแยกไขมัน อาจมีแผลเล็กบริเวณที่ดูดไขมัน
  • อาการหลังทำ: อาจบวมช้ำมากกว่าฟิลเลอร์ และในบางรายอาจเกิดความไม่สม่ำเสมอเพราะไขมันบางส่วนไม่ติด
  • ระยะเวลาคงอยู่: อยู่ได้นานหลายปีหากไขมันติดดี แต่ขึ้นอยู่กับเทคนิคแพทย์และการดูแลตัวเอง
  • ความปลอดภัย: ซับซ้อนกว่า ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือผลลัพธ์ที่ไม่เรียบเนียน
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการใช้เซลล์ตัวเอง ไม่อยากใส่สารสังเคราะห์ และอยากได้ผลลัพธ์ที่คงทนยาวนาน

สรุป

  • ถ้าต้องการเห็นผลเร็ว ปลอดภัย แก้ไขได้ง่าย และไม่อยากพักฟื้น → ฟิลเลอร์ใต้ตา
  • ถ้าอยากใช้ไขมันตัวเอง เน้นความเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน → ฉีดไขมันใต้ตา

↑ กลับสู่สารบัญ

ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผล?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องใช้ปริมาณที่พอดี เพราะหากฉีดมากหรือน้อยเกินไปอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปมักใช้ 1–2 CC ต่อเคส แบ่งฉีดข้างละประมาณ 0.5–1 CC เพื่อให้ใต้ตาดูเรียบเนียนและสมดุล

ทั้งนี้ ปริมาณที่ใช้จริงขึ้นอยู่กับความลึกของร่องและสภาพผิวของแต่ละคน หากมีร่องลึกมากหรือใต้ตาแบนชัดเจน อาจต้องใช้มากกว่า เช่น 3–4 CC เพื่อให้เห็นผลชัดเจน แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและคำนวณปริมาณที่เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้า เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูสวยเป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด

การเลือกปริมาณที่เหมาะสมและเทคนิคการฉีดที่แม่นยำ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหาใต้ตาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูดีและไม่เป็นอันตราย

เข็มทู่ vs เข็มแหลม ฉีดใต้ตาแบบไหนปลอดภัยกว่า?

หลายคนอาจไม่รู้ว่าประเภทของเข็มที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ส่งผลต่อทั้งความปลอดภัยและผลลัพธ์อย่างมาก โดยทั่วไปแพทย์จะเลือกใช้ทั้ง เข็มแหลม (Needle) หรือ เข็มทู่ (Cannula) ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ความลึกของร่องใต้ตา และโครงสร้างผิวของแต่ละคน การเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกคลินิกหรือแพทย์ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เข็มแหลม (Needle)

ปลายคม ใช้เจาะผ่านผิวโดยตรง เหมาะกับตำแหน่งเล็ก ๆ ที่ต้องการความแม่นยำสูง แต่มีโอกาสเจาะโดนเส้นเลือดได้มากกว่า จึงอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือบวมได้ง่าย หากใช้บริเวณใต้ตาต้องอาศัยความชำนาญสูงเพื่อลดความเสี่ยงผลข้างเคียง

เข็มทู่ (Cannula)

ปลายมน ไม่คม จึงลดความเสี่ยงต่อการบวม ช้ำ และเส้นเลือดอุดตันได้ดีกว่า เหมาะกับผิวที่บางและบอบบางอย่างบริเวณใต้ตา แพทย์สามารถควบคุมทิศทางการฉีดได้แม่นยำ และมักเจาะเพียงรูเล็ก ๆ จุดเดียวก่อนกระจายฟิลเลอร์ออก ทำให้ไม่ต้องแทงซ้ำหลายตำแหน่ง

โดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามักเลือกใช้ เข็มทู่ เพราะมีความปลอดภัยสูงกว่า ลดการบวมช้ำและความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตัน อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องใช้ เข็มแหลม ในบางจุด ก็ต้องเป็นการทำงานแบบวางแผนเฉพาะ และดำเนินการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น

↑ กลับสู่สารบัญ

ฟิลเลอร์ใต้ตาเนื้อบาง vs เนื้อแข็ง ต่างกันอย่างไร?

การเลือกชนิดของฟิลเลอร์สำหรับใต้ตาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะผิวบริเวณนี้บอบบางมาก หากเลือกไม่เหมาะสมอาจทำให้ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติได้

ฟิลเลอร์เนื้อบาง

มีความนุ่ม กระจายตัวได้ดี ไม่เป็นก้อนง่าย เหมาะกับผิวบางหรือผู้ที่มีร่องตาตื้น ความคล้ำเล็กน้อย และไม่ต้องการ การยกพยุงมากนัก จุดเด่นคือช่วยเติมเต็มให้ผิวใต้ตาดูสดใสและเป็นธรรมชาติสูง ไม่เห็นเป็นขอบหรือเป็นคลื่น

ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

มีความแน่น คงรูป และให้การยกพยุงได้ดี เหมาะกับผู้ที่มีร่องลึก เบ้าตาลึก หรือมีการยุบตัวของกระดูกจากอายุที่มากขึ้น การฉีดต้องทำในชั้นลึก หากฉีดตื้นเกินไปอาจเกิดก้อนหรือดูไม่เรียบเนียนได้ แต่ถ้าใช้ในเคสที่เหมาะสม จะช่วยให้ใบหน้าดูเต็มและอิ่มขึ้นอย่างพอดี

หากคุณมีร่องใต้ตาเล็กน้อยหรือผิวบางมาก ฟิลเลอร์เนื้อบางจะให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและกลมกลืนกว่า แต่ถ้ามีเบ้าตาลึกหรือโครงสร้างยุบตัวจากวัย ฟิลเลอร์เนื้อแข็งอาจจำเป็น โดยต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการวางตำแหน่งที่เหมาะสม ดังนั้นการให้แพทย์ประเมินก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อเลือกฟิลเลอร์ที่ตรงกับปัญหาและให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

ฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล? อยู่ได้นานแค่ไหน?

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที และผลลัพธ์จะเข้าที่ชัดเจนขึ้นภายใน 7–14 วัน เมื่ออาการบวมยุบลง ทำให้ร่องลึกและความคล้ำดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้ประมาณ 8 เดือนถึง 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ เทคนิคการฉีด และการดูแลตัวเอง หากใช้ฟิลเลอร์เกรดพรีเมียมและฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานถึง 1 ปีครึ่ง โดยยังคงเรียบเนียนไม่เป็นก้อน

↑ กลับสู่สารบัญ

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

หากใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือฉีดผิดเทคนิค อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อน ฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง ใต้ตาดูคล้ำจาก Tyndall effect หรือมีอาการอักเสบติดเชื้อ กรณีรุนแรงอาจเกิดเส้นเลือดอุดตันซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ ดังนั้นควรเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. และตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ทุกครั้งก่อนฉีด หากฉีดอย่างถูกต้องโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ความเสี่ยงถือว่าต่ำและปลอดภัยสูง

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความแม่นยำและความชำนาญ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ

  1. ประเมินโครงสร้างใต้ตา
    แพทย์จะตรวจดูร่องลึก ถุงใต้ตา ความคล้ำ และความหนาของผิว เพื่อวางแผนตำแหน่งและปริมาณฟิลเลอร์ ว่าจะต้องใช้กี่ CC โดยวิเคราะห์ให้เหมาะสมกับแต่ละคน
  2. ทำความสะอาดบริเวณใต้ตา
    ทำความสะอาดบริเวณใต้ตา พร้อมประคบเย็นหรือแปะยาชา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างทำ
  3. ฉีดฟิลเลอร์ด้วยเทคนิคเฉพาะ ของ Doctor Tony Clinic
    แพทย์จะใช้เข็มปลายทู่ (cannula) หรือเข็มเล็กในการฉีดฟิลเลอร์ HA ลงในตำแหน่งที่วางแผนไว้ โดยหลีกเลี่ยงเส้นเลือดและชั้นผิวที่เสี่ยงเกิดก้อน ใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที
  4. ปรับรูปทรงให้เรียบเนียน
    หลังฉีด แพทย์จะกดเบา ๆ เพื่อกระจายฟิลเลอร์ให้เข้ารูปและกลมกลืนกับผิว
  5. ตรวจผลและแนะนำการดูแลหลังทำ
    ผู้รับบริการจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแล เช่น หลีกเลี่ยงการกดหรือขยี้ตาในช่วง 1–2 วันแรก

ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่นาน หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น อย่างไรก็ตาม ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

↑ กลับสู่สารบัญ

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  1. หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือขยี้ตา ภายใน 24–48 ชั่วโมงแรก
  2. งดนอนคว่ำ เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณใต้ตา
  3. หากมีอาการบวมเล็กน้อย สามารถ ประคบเย็น 6–12 ชั่วโมงแรก แต่ควรงดประคบร้อนหรือเข้าซาวน่า
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูเต็มอย่างเป็นธรรมชาติ
  5. งดออกกำลังกายหนัก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือทำกิจกรรมที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว อย่างน้อย 48 ชั่วโมงแรก
  6. งดแต่งหน้าใกล้ดวงตาในวันแรก เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
  7. ควรนอนหนุนหมอนสูงในคืนแรก เพื่อลดอาการบวม
  8. กลับมาตรวจติดตามกับแพทย์ตามนัด เพื่อประเมินผลลัพธ์และความปลอดภัย
  9. หากพบอาการผิดปกติ เช่น เจ็บ ปวด หรือมีก้อน ควรรีบพบแพทย์ทันที

↑ กลับสู่สารบัญ

ฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ Doctor Tony Clinic ราคาเท่าไหร่?

สำหรับราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ Doctor Tony Clinic เราใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ทุกชนิด

  • ฟิลเลอร์ Juvederm Allergan (USA) ราคา 11,990 บาท / 1 CC (ดูแลโดยทีมแพทย์)
  • ฟิลเลอร์ Restylane (Sweden) ราคา 11,990 บาท / 1 CC
  • ฟิลเลอร์ Lorient (Korea) ราคา 7,990 บาท / 1 CC (ดูแลโดยทีมแพทย์)

ราคาที่ใช้จริงขึ้นอยู่กับปัญหาและปริมาณที่แพทย์ประเมินว่าจำเป็น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด

รีวิว ฟิลเลอร์ใต้ตา

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา

❖ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม?

เจ็บน้อยมากหรือแทบไม่รู้สึก เพราะจะมีการแปะยาชาก่อนฉีด แต่ความรู้สึกก็ขึ้นอยู่กับผิวแต่ละคนและเทคนิคของแพทย์

❖ ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม?

ปลอดภัยหากใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจาก Hyaluronic Acid สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ

❖ Filler ใต้ตา อยู่ได้นานแค่ไหน?

โดยทั่วไปอยู่ได้ 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณที่ใช้ และการดูแลตนเอง หากใช้ฟิลเลอร์เกรดพรีเมียม อาจอยู่ได้นานถึง 1 ปีครึ่ง

❖ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีโอกาสเป็นก้อนไหม?

โหากเลือกฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมหรือฉีดผิดเทคนิค อาจเกิดก้อนได้ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลาย (Hyaluronidase)

❖ Filler ใต้ตา ต้องใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผล?

ส่วนใหญ่เริ่มที่ 1–2 CC ปริมาณจริงขึ้นอยู่กับระดับร่องลึกและโครงสร้างผิว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินรายบุคคล

❖ ฉีด Filler ใต้ตาพักฟื้นกี่วัน ?

ไม่จำเป็น อาจมีรอยบวมเล็กน้อยหรือรอยแดง แต่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

❖ Filler ใต้ตา บวมกี่วัน กี่วันถึงจะเข้าที่?

อาการบวมดีขึ้นใน 1–3 วัน และฟิลเลอร์จะเข้าที่ภายใน 1–2 สัปดาห์

❖ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา พร้อมตำแหน่งอื่นได้หรือไม่?

สามารถทำได้ เช่น ร่องแก้ม คาง หรือหน้าผาก แต่ควรให้แพทย์ออกแบบรูปหน้าโดยรวมเพื่อความสมดุล

❖ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถแต่งหน้าได้ไหม?

แต่งหน้าได้หลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อหรือการระคายเคือง

❖ ใต้ตาเป็นก้อน สามารถฉีดสลายได้ไหม?
ได้ หากไม่พอใจกับผลลัพธ์ สามารถฉีดเอนไซม์ Hyaluronidase เพื่อสลายฟิลเลอร์ออกได้อย่างปลอดภัย

❖ ผู้ชาย ฉีด Filler ใต้ตาได้ไหม?

สามารถฉีดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ที่อยากให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม และยังคงความเป็นธรรมชาติ

❖ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ทำพร้อมกับทรีตเมนต์หรือเลเซอร์ได้ไหม?

สามารถทำได้ แต่ควรมีการเว้นระยะตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ทรีตเมนต์บางชนิดสามารถทำควบคู่ได้ทันที แต่เลเซอร์หรือหัตถการที่มีความร้อนสูงควรเว้นอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวและคงรูปได้ดี

↑ กลับสู่สารบัญ

สรุป

ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีแก้ปัญหาความหมองคล้ำ ร่องลึก และผิวหย่อนคล้อยรอบดวงตาที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ แต่ละคนเหมาะกับฟิลเลอร์ชนิดไหน ปริมาณเท่าไร ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินอย่างละเอียดเพื่อความสวยงามและความปลอดภัยสูงสุด หากเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้คุณกลับมามีดวงตาที่สดใสและใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างมั่นใจ