การเติมเต็มและปรับโครงสร้างใบหน้าเพื่อคืนความอ่อนเยาว์ หรือเพิ่มมิติให้สมบูรณ์แบบนั้น มีสองทางเลือกหลักที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การ ฉีดฟิลเลอร์ กับ ฉีดไขมัน ตัวเอง แม้ทั้งสองวิธีจะช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ใบหน้า แต่กระบวนการ วัสดุที่ใช้ และผลลัพธ์ในระยะยาวมีความแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจ
การฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ ที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มักเป็นสารในกลุ่ม กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid – HA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ HA ถูกผลิตขึ้นมาในรูปแบบเจลที่มีความหนืดและยืดหยุ่นหลากหลายระดับ ทำให้แพทย์สามารถเลือกใช้ชนิดที่เหมาะสมกับแต่ละบริเวณได้ เช่น ฟิลเลอร์ที่มีความแข็งมากเหมาะกับการเสริมคางหรือกระดูกแก้ม ส่วนชนิดที่นิ่มจะเหมาะกับการเติมเต็มใต้ตาหรือริมฝีปาก
จุดเด่นสำคัญของฟิลเลอร์คือ
ความปลอดภัย: ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. จะสามารถ สลายไปได้เองตามธรรมชาติ เมื่อครบกำหนด (ประมาณ 6-24 เดือน) และที่สำคัญ หากเกิดความผิดพลาดหรือไม่พอใจในผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายได้ ทันทีด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase
ความแม่นยำ: เหมาะกับการ ปั้นแต่งและเก็บรายละเอียดเฉพาะจุด ที่ต้องการความคมชัดสูง
👉 อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ คืออะไร? ครบทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีด
การฉีดไขมันตัวเอง
การฉีดไขมันเป็นการใช้ เซลล์ไขมันจากร่างกายของผู้เข้ารับบริการเอง (Autologous Fat) โดยแพทย์จะทำการดูดไขมันส่วนเกินจากบริเวณอื่น เช่น หน้าท้อง, ต้นขา หรือสะโพก จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการปั่นแยก (Purification) เพื่อคัดเอาเฉพาะเซลล์ไขมันที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์ที่สุด แล้วจึงฉีดกลับเข้าไปที่ใบหน้า
จุดเด่นสำคัญของไขมันคือ
- ความเข้ากันได้: เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อของตัวเอง 100% จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือต่อต้านสารแปลกปลอม
- ผลลัพธ์กึ่งถาวร: ไขมันส่วนที่สามารถ “รอดชีวิต” และมีการสร้างเส้นเลือดใหม่มาเลี้ยงแล้ว จะติดเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อใบหน้า และอยู่ได้อย่างยาวนานเกือบถาวร
- การฟื้นฟูผิว: ในเซลล์ไขมันมี สเต็มเซลล์ (Stem Cells) และ Growth Factors ซึ่งช่วยฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น
เปรียบเทียบขั้นตอนและระยะเวลาพักฟื้น
ความแตกต่างที่ชัดเจนและส่งผลต่อการวางแผนชีวิตประจำวันคือ ขั้นตอนการทำและการพักฟื้น (Downtime)
- การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ไม่ซับซ้อน สามารถทำเสร็จได้ในเวลารวดเร็ว (มักไม่เกิน 30-45 นาที) ผู้รับบริการไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที อาจมีเพียงรอยเข็มหรือรอยช้ำเล็กน้อยที่หายได้ในไม่กี่วัน
- การฉีดไขมัน มีความซับซ้อนมากกว่า เพราะนับเป็น หัตถการกึ่งศัลยกรรม ต้องมีกระบวนการถึง 2 ส่วน: การดูดไขมันและการฉีดไขมันกลับเข้าไป ซึ่งใช้เวลานานกว่ามาก และทำให้เกิดบาดแผลจากการดูดไขมัน ผู้รับบริการจึง ต้องมีระยะเวลาพักฟื้น ประมาณ 5-14 วัน เพื่อรอให้อาการบวมช้ำของทั้งจุดดูดและจุดฉีดบรรเทาลง
ผลลัพธ์ในระยะยาวและความคงทน
ฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid)
- ความคงทน: ชั่วคราว สลายได้เองตามชนิด ประมาณ 6–24 เดือน
- การเติมซ้ำ: จำเป็นต้องเติมซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
- ความเหมาะสม: ใช้แก้ไขรายละเอียดเฉพาะจุด เช่น เติมร่องลึก ปรับรูปหน้าให้คมชัด
ไขมันตัวเอง (Fat Grafting)
- ความคงทน: กึ่งถาวร ไขมันที่ติดจะอยู่ยาวนาน
- การเติมซ้ำ: อาจต้องเติมซ้ำ 1–2 ครั้ง เพื่อให้ได้วอลลุ่มตามต้องการ เนื่องจากไขมันจะสลายเองบางส่วน (30–50%) ในช่วงแรก
- ความเหมาะสม: เหมาะกับการเติมวอลลุ่มในพื้นที่กว้าง คืนความละมุนและความอ่อนเยาว์ทั่วใบหน้า
👉 อ่านเพิ่มเติม : เติมไขมันสะโพก ด้วยไขมันตัวเอง ไม่ต้องผ่าตัด
ข้อควรพิจารณาในการตัดสินใจเลือก ฉีดฟิลเลอร์ กับ ฉีดไขมัน
- งบประมาณและปริมาณ: หากต้องการ วอลลุ่มในปริมาณมาก หรือเติมเต็มทั่วใบหน้า การฉีดไขมันจะมีความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายในระยะยาวมากกว่าการซื้อฟิลเลอร์หลายสิบซีซี
- ความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน: แม้ไขมันจะเป็นเนื้อเยื่อของเราเอง แต่ผลลัพธ์หลังฉีดจะ ไม่แน่นอนเท่าฟิลเลอร์ เนื่องจากต้องมีการลุ้นว่าไขมันจะติดกี่เปอร์เซ็นต์ (Fat Survival Rate) หากไขมันสลายตัวไม่เท่ากัน อาจทำให้ใบหน้าดูเป็นคลื่นหรือไม่เรียบได้ ซึ่งแก้ไขได้ยากกว่าฟิลเลอร์มาก
- การแก้ไข: ฟิลเลอร์สามารถแก้ไขได้ทันทีด้วยการฉีดสลาย แต่การแก้ไขปัญหาจากไขมันที่ฉีดมากเกินไปหรือเป็นก้อน อาจต้องใช้การดูดออก หรือการผ่าตัดขนาดเล็กเท่านั้น
คำถามที่พบบ่อย
ฉีดไขมันใช้เซลล์ไขมันของตัวเอง จึงให้ความเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานกว่า ส่วนฉีดฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มสังเคราะห์ เห็นผลทันทีและแก้ไขได้ง่าย
ไขมันที่ติดดีสามารถอยู่ได้กึ่งถาวร หรือหลายปี โดยไม่ต้องเติมซ้ำบ่อย
ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตามธรรมชาติ ใช้เวลา 6–24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดและบริเวณที่ฉีด
แทบไม่มีโอกาสแพ้ เพราะใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง ไม่ใช่สารสังเคราะห์
ปลอดภัยหากใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่หากใช้ของปลอมอาจเกิดอาการแพ้หรืออุดตันหลอดเลือดได้
โดยทั่วไปใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 5–14 วัน เนื่องจากมีแผลดูดไขมันร่วมด้วย
ขึ้นอยู่กับความต้องการ งบประมาณ และเวลาพักฟื้น หากต้องการผลรวดเร็วและแก้ไขง่าย เลือกฟิลเลอร์ แต่หากอยากได้ผลลัพธ์ระยะยาวและดูเป็นธรรมชาติ ฉีดไขมันตอบโจทย์กว่า
สรุป
หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ รวดเร็ว แม่นยำ สามารถ แก้ไขได้ และต้องการ กำหนดรูปทรงที่คมชัด (เช่น ขอบกราม คาง) ฟิลเลอร์ คือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หากคุณต้องการ วอลลุ่มที่ถาวร ในพื้นที่กว้าง และต้องการ ฟื้นฟูคุณภาพผิว พร้อมกับยอมรับระยะเวลาการพักฟื้นและความไม่แน่นอนของการติดของไขมัน การฉีดไขมัน จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า

